จิตวิทยาการเรียนการสอน
ความหมายของวิชา “จิตวิทยา” มีผู้ให้ความหมายไว้มากมายแต่ในที่นี้ขอยกตัวอย่างพอเป็นสังเขปดังนี้คือจิตวิทยา มาจากคำในภาษาอังกฤษว่า Psychology ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก Psyche หมายถึง จิตวิญญาณ (Mind , Soul) กับคำว่า Logos หมายถึง ศาสตร์ วิชา วิทยาการ (Science
, Study) ไซคี ( Psyche) เป็นชื่อเทพธิดาผู้เลอโฉมในนิยายปรัมปราของกรีก
ได้อภิเษกกับกามเทพชื่อ (Cupid) ทั้งสองรักกันมานานไม่เคยแยกจากกัน
ชาวกรีกจึงเห็นว่า Psyche เป็นวิญญาณนั่นเอง แต่สำหรับ Cupid นั้นถือว่าเป็นร่างกายและทั้งวิญญาณและร่างกายต้องอยู่เป็นคู่กันเสมอ ไม่อาจจะพรากจากกันได้
วิธีการศึกษาทางจิตวิทยา
จิตวิทยานั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นวิทยาศาสตร์ทางพฤติกรรมหรือที่เรียกกัน ว่า พฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งในทางวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุผลที่จิตวิทยานั้นได้นำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้เพื่อค้นคว้าหา คำตอบ
เกี่ยวกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหลาย ซึ่งวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวมานั้น ประกอบไปด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่
๑. ตั้งปัญหา (Formulating
Problem)
เป็นขั้นตอนที่จะต้องกำหนดปัญหาที่จะศึกษาค้นคว้าอย่างชัดเจนว่าต้องการค้นคว้าศึกษาหาคำตอบในเรื่องใด นั่นคืออะไรที่ทำให้เราเกิดความสงสัยใคร่รู้นั่นเอง
๒. ตั้งสมมติฐาน (Stating
Hypothesis)
หลังจากที่ได้กำหนดปัญหาที่ชัดเจนแล้ว
ผู้ศึกษาควรคาดคะเนผลที่ควรจะเกิดขึ้นล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างไร โดยอาจอาศัยทฤษฎีที่เกี่ยวข้องมาสนับสนุน แต่ไม่ใช่การเดาสุ่มอย่างไม่มีหลักเกณฑ์
การตั้งสมมติฐานเปรียบเสมือนกับแผนที่ในการเดินทางสู่เป้าหมายได้อย่างรวด
เร็วและใกล้เคียงกับสิ่งที่เป็นจริงมากยิ่งขึ้น
๓. รวบรวมข้อมูล (Collecting
Data)
ทั้งนี้ทฤษฎีบางอย่างอาจมีข้อจำกัดหรือเบี่ยงเบนตามสภาพแวดล้อมหรือสาเหตุ
ที่ซ้อนเร้นที่ผู้ศึกษาไม่ทราบ ดังนั้นหลังจากการตั้งสมมติฐานแล้ว
ผู้ศึกษาจะต้องทำการแสวงหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มาเพื่อสนับสนุนสมมติฐานที่ตั้งไว้ อาจทำได้หลายวิธีเช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การใช้แบบทดสอบต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดขึ้นตอนนี้ถือว่ามีความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากผลวิเคราะห์ที่ออกมามีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้วิธีการในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้ศึกษาจะต้องทำการแสวงหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มาเพื่อสนับสนุนสมมติฐานที่ตั้งไว้ อาจทำได้หลายวิธีเช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การใช้แบบทดสอบต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดขึ้นตอนนี้ถือว่ามีความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากผลวิเคราะห์ที่ออกมามีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้วิธีการในการเก็บรวบรวมข้อมูล
วิธีการรวบรวมข้อมูลที่นิยมใช้ในทางจิตวิทยานั้น
สามารถจำแนกออกได้ ดังนี้
๑) วิธีการสังเกต (Observation Method)
เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการเฝ้าดูพฤติกรรมของบุคคลในสถานการณ์จริง
อย่างมีจุดมุ่งหมาย และทำการบันทึกพฤติกรรมที่แสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีอคติ
และอารมณ์ส่วนตัวโดยเด็ดขาด การสังเกตสามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
- การสังเกตอย่างมีแบบแผน (Formal
Observation) นั่นคือ การสังเกตที่มีการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า
มีการวางแผน กำหนดเวลา สถานการณ์ สถานที่ พฤติกรรม
และบุคคลที่จะสังเกตไว้อย่างครบถ้วน
- การสังเกตอย่างไม่มีแบบแผน (Informal
Observation) เป็นการสังเกตอย่างกระทันหันทันทีทันใด
ไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า แต่อย่างไรก็ตาม
ผู้สังเกตควรจะต้องมีจุดมุ่งหมายในการสังเกตด้วย
๒) วิธีการทดลอง (Experimental Method) หมายถึง
การจัดสร้างหรือเปลี่ยนแปลงสถานการณ์
เพื่อสังเกตผลที่เกิดขึ้นจากการสร้างหรือเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ
ซึ่งโดยมากแล้วจะกระทำกันในห้องปฏิบัติการ (Laboratory Experiment) โดยในการทดลองนี้มักจะแบ่งกลุ่มการทดลองออก
๓) วิธีการสำรวจ (Survey) เป็นวิธีการอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เพราะเป็นวิธีการที่ใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่มากนัก
แต่ทั้งนี้สิ่งที่ต้องคำนึงนั่นคือ หากกลุ่มประชากรมีจำนวนที่มากเกินการสำรวจได้อย่างทั่วถึง จะต้องมีวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง
Sample Group) จากกลุ่มประชากรเพื่อนำมาเป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมด
วิธีการในการสำรวจ อาทิ แบบสอบถาม สัมภาษณ์ เป็นต้น
๔) การทดสอบ (Testing) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้ในการศึกษาทางจิตวิทยา
เนื่องจากการทดสอบจะใช้แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized test) ที่นักจิตวิทยาสร้างขึ้นเพื่อวัดหรือประเมินลักษณะทางพฤติกรรม
๕) การสัมภาษณ์ (Interview) เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสนทนาระหว่างบุคคล เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ละเอียดและลึกมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้จะต้องมีการวางแผนล่วงหน้าอย่างดี
โดยเฉพาะการสื่อความหมายที่ต้องเน้นให้เหมาะสม ในการสัมภาษณ์นั้นจะต้องใช้วิธีการสังเกตในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ทั้งนี้เพื่อดูพฤติกรรมระหว่างการสัมภาษณ์อีกด้วย
๖) วิธีการทางคลินิก (Clinical Methods)เป็นเทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลรายบุคคล
(Individual Case) ซึ่งจะใช้เฉพาะบุคคลที่มีอาการทางจิตเท่านั้น
๗) การสืบประวัติ (Case History) เป็นการรวบรวมข้อมูลเพื่อหาเหตุแห่งพฤติกรรมที่เป็นปัญหาในปัจจุบัน โดยการศึกษาถึงประวัติย้อนหลังซึ่งอาจมาจากบันทึก คำบอกเล่าของผู้ถูกศึกษา ญาติพี่น้อง รวมทั้งบุคคลใกล้ชิด แต่ทั้งนี้
เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในวิธีการนี้
จึงอาจต้องใช้วิธีการอื่น ๆ ประกอบร่วมด้วย
๘) การตรวจสอบจิตตนเอง (Introspection Method) เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลโดยให้มีการสำรวจทบทวนตนเองในช่วงเวลาเกิดปัญหาที่
ผ่านมา แต่ทั้งนี้จะต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ที่ถูกศึกษาอย่างจริงจังด้วย
มิฉะนั้นข้อมูลที่ได้อาจเกิดการคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้มาก
๔. การวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis and
Testing Data)
เมื่อรวบรวมข้อมูลได้มากพอที่จะสนับสนุนสมติฐานแล้ว
จึงนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อทำการทดสอบสมมติฐานดังกล่าว
ทั้งนี้การวิเคราะห์ข้อมูลอาจทำได้โดยการหาค่าทางสถิติต่าง ๆ
แล้วจึงนำค่าเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับสมมติฐานที่กำหนดไว้
แล้วจึงแปลความจากค่าสถิติดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง
๕. ประเมินผลและสรุป (Conclusion)
หลังจากทำการวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จสิ้น ควรมีการสรุปผลเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
๖. การนำไปใช้ (Applied
Finding)
เป็นการนำผลที่ได้จากขั้นตอนที่ 5
ไปใช้อธิบายพฤติกรรมหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโอกาสต่อไป
พจนานุกรมของเวบสเตอร์ (Webster
's Third New International Dictionary) "การเรียนรู้
คือ กระบวนการเพิ่มพูนและปรุงแต่งระบบความรู้
ทักษะ นิสัย หรือการแสดงออกต่างๆ อันมีผลมาจากสิ่งกระตุ้นอินทรีย์โดยผ่านประสบการณ์
การปฏิบัติ หรือการฝึกฝน" ประดินันท์ อุปรมัย
(๒๕๔๐, ชุดวิชาพื้นฐานการศึกษา(มนุษย์กับการเรียนรู้) :
นนทบุรี, พิมพ์ครั้งที่ ๑๕,หน้า ๑๒๑) “ การเรียนรู้คือการเปลี่ยนแปลงของบุคคลอันมีผลเนื่องมาจากการได้รับประสบการณ์ โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเหตุทำให้บุคคลเผชิญสถานการณ์เดิมแตกต่างไปจากเดิม “ประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหมายถึงทั้งประสบการณ์ทางตรงและประสบการณ์ทางอ้อม
ประสบการณ์ทางตรง คือ ประสบการณ์ที่บุคคลได้พบหรือสัมผัสด้วยตนเอง เช่น เด็กเล็กๆ
ที่ยังไม่เคยรู้จักหรือเรียนรู้คำว่า “ร้อน” เวลาที่คลานเข้าไปใกล้กาน้ำร้อน แล้วผู้ใหญ่บอกว่าร้อน
และห้ามคลานเข้าไปหา เด็กย่อมไม่เข้าใจและคงคลานเข้าไปหาอยู่อีก
จนกว่าจะได้ใช้มือหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายไปสัมผัสกาน้ำร้อน
จึงจะรู้ว่ากาน้ำที่ว่าร้อนนั้นเป็นอย่างไร ต่อไป
เมื่อเขาเห็นกาน้ำอีกแล้วผู้ใหญ่บอกว่ากาน้ำนั้นร้อนเขาจะไม่คลานเข้าไปจับกาน้ำนั้น
เพราะเกิดการเรียนรู้คำว่าร้อนที่ผู้ใหญ่บอกแล้ว เช่นนี้กล่าวได้ว่า ประสบการณ์ ตรงมีผลทำให้เกิดการเรียนรู้เพราะมีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เผชิญกับสถานการณ์เดิมแตกต่างไปจากเดิม ในการมีประสบการณ์ตรงบางอย่างอาจทำให้บุคคลมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
แต่ไม่ถือว่าเป็นการเรียนรู้ ได้แก่
๑. พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากฤทธิ์ยา หรือสิ่งเสพติดบางอย่าง
๒. พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากความเจ็บป่วยทางกายหรือทางใจ
๓. พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากความเหนื่อยล้าของร่างกาย
๔. พฤติกรรมที่เกิดจากปฏิกิริยาสะท้อนต่างๆ
ประสบการณ์ทางอ้อม คือ ประสบการณ์ที่ผู้เรียนมิได้พบหรือสัมผัสด้วยตนเองโดยตรง แต่อาจได้รับประสบการณ์ทางอ้อมจาก การอบรมสั่งสอนหรือการบอกเล่า การอ่านหนังสือต่างๆ และการรับรู้จากสื่อมวลชนต่างๆ
จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้
พฤติกรรมการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายของนักการศึกษาซึ่งกำหนดโดย บลูม
และคณะ (Bloom and Others ) มุ่งพัฒนาผู้เรียนใน
๓ ด้าน ดังนี้
๑. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive
Domain) คือ ผลของการเรียนรู้ที่เป็นความสามารถทางสมอง
ครอบคลุมพฤติกรรมประเภท ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้
การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และประเมินผล
๒. ด้านเจตพิสัย (Affective
Domain ) คือ
ผลของการเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงด้านความรู้สึก ครอบคลุมพฤติกรรมประเภท
ความรู้สึก ความสนใจ ทัศนคติ การประเมินค่าและค่านิยม
๓. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor
Domain) คือ ผลของการเรียนรู้ที่เป็นความสามารถด้านการปฏิบัติ
ครอบคลุมพฤติกรรมประเภท การเคลื่อนไหว การกระทำ
การปฏิบัติงาน การมีทักษะและความชำนาญ
องค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้
ดอลลาร์ด และมิลเลอร์ (Dallard and Miller) เสนอว่าการเรียนรู้ มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ
คือ
๑. แรงขับ (Drive) เป็นความต้องการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล เป็นความพร้อมที่จะเรียนรู้ของบุคคลทั้งสมอง
ระบบประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ แรงขับและความพร้อมเหล่านี้จะก่อให้เกิดปฏิกิริยา
หรือพฤติกรรมที่จะชักนำไปสู่การเรียนรู้ต่อไป
๒. สิ่งเร้า (Stimulus) เป็นสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้บุคคลมีปฏิกิริยา หรือพฤติกรรมตอบสนองออกมา
ในสภาพการเรียนการสอน สิ่งเร้าจะหมายถึงครู กิจกรรมการสอน
และอุปกรณ์การสอนต่างๆ ที่ครูนำมาใช้
๓. การตอบสนอง (Response) เป็นปฏิกิริยา หรือพฤติกรรมต่างๆ
ที่แสดงออกมาเมื่อบุคคลได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้า
ทั้งส่วนที่สังเกตเห็นได้และส่วนที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้
เช่น การเคลื่อนไหว ท่าทาง คำพูด การคิด
การรับรู้ ความสนใจ และความรู้สึก
เป็นต้น
๔. การเสริมแรง (Reinforcement) เป็นการให้สิ่งที่มีอิทธิพลต่อบุคคลอันมีผลในการเพิ่มพลังให้เกิดการเชื่อมโยง
ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองเพิ่มขึ้น การเสริมแรงมีทั้งทางบวกและทางลบ
ซึ่งมีผลต่อการเรียนรู้ของบุคคลเป็นอันมาก